วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

เทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกวงการ และเทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำงานทุกด้าน นับตั้งแต่ทางด้านการศึกษา พาณิชยกรรม เกษตรกรรม อุตสาหกรรม สาธารณสุข การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนด้านการเมืองและราชการ อันที่จริงแล้วจะเห็นว่าไม่มีงานด้านใดที่ไม่มีผู้คิดประยุกต์หรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปช่วยให้การทำงานนั้น ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น

ข้อมูลกับสารสนเทศ
ข้อมูล (Data) หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อนำมารวมกันแล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและมีสำคัญควรค่าแก่การจัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความที่อธิบายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถนำไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้ (ทักษิณา สวนานนท์ และฐานิศรา เกียรติบารมี 2546: 165)
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวลแล้วจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ จนได้เป็นข้อความรู้ เพื่อนำมาเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี 2538: 3)
ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น
1. ด้านการวางแผน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการองค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น
2. ด้านการตัดสินใจ สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทางหรือทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. ด้านการดำเนินงาน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ

ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technologies: ICTs) ก็คือ เทคโนโลยีสองด้านหลัก ๆ ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหวข้อความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยำ และความรวดเร็วให้ทันต่อการนำไปใช้ประโยชน์

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มี 5 ประการ (Souter 1999: 409) ได้แก่
ประการแรก การสื่อสารถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สิ่งสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ประกอบด้วย Communications media, การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)   
ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่าโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์, อินเทอร์เน็ต, อีเมล์ ทำให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจายออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก
ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคาถูกลง 
ประการที่สี่ เครือข่ายสื่อสาร (Communication networks) ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก เนื่องจากจำนวนการใช้เครือข่าย จำนวนผู้เชื่อมต่อ และจำนวนผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าเชื่อมต่อกับเครือข่ายนับวันจะเพิ่มสูงขึ้น
ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ ICT มีราคาถูกลงมาก

องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับรายละเอียดพอสังเขปของแต่ละเทคโนโลยีมีดังต่อไปนี้คือ
1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำสั่งที่บอก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4)

ฮาร์ดแวร์ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ
อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครื่องตรวจกวาดภาพ (Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)
อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และเทอร์มินัล
หน่วยประมวลผลกลาง จะทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลักในขณะคำนวณหรือประมวลผล โดยปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำสั่งที่เก็บไว้ไว้ในหน่วยความจำหลักมาประมวลผล
หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพื่อใช้ในการคำนวณ และผลลัพธ์ของการคำนวณก่อนที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ส่งข้อมูล รวมทั้งการเก็บคำสั่งขณะกำลังประมวลผล
หน่วยความจำสำรอง ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมขณะยังไม่ได้ใช้งาน เพื่อการใช้ในอนาคต

ซอฟต์แวร์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นมากในการควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ
1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พ่วงต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กัน ในปัจจุบัน เช่น UNIX, DOS, Microsoft Windows
2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่างการประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่ใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เช่น โปรแกรมเอดิเตอร์ (Editor)
3. โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจ และทำงานตามที่ ผู้ใช้ต้องการ

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อทำงานเฉพาะด้านตามความต้องการ ซึ่งซอฟต์แวร์ประยุกต์นี้สามารถแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่องานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานทั่วไปไม่เจาะจงประเภทของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นต้น
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจเฉพาะ ตามแต่วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้
3. ซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่น ๆ เป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง และอื่น ๆ นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal Information Management และซอฟต์แวร์เกมต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อดีข้อเสียของสานนำสัญญาณชนิดต่างๆ

ข้อดี,ข้อเสียของ LAN Card
10 Mbps Ethernet Hubเป็น HUBรุ่นที่ถูกที่สุดในบรรดา HUBทั้งหมดทำให้เป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ 5 – 10เครื่องซึ่งความเร็วของสัญญาญที่วิ่งในเครือข่ายนั้นจะไม่เกิน 10 Mbps
ข้อดี -ราคาถูก,ติดตั้งง่าย,ขนาดเล็กที่สุด
ข้อเสีย -ความเร็วของสัญญาณที่วิ่งต่ำในบรรดา HUBทั้งหมดและจะลงตามจำนวนเครื่องในระบบ
ที่เพิ่มขึ้น
2. 100 Mbps Fast Ethernet Hubเป็น HUBที่มีลักษณะการทำงานคล้าย Ethernet Hubแต่จะต่างกันตรงที่ HUBชนิดนี้สัญญาณจะวิ่งที่ความเร็ว 100 Mbps
ข้อดี -ความเร็วสูงกว่า HUBแบบ 10 Mbps
ข้อเสีย -ใช้ได้กับเครื่องที่ใช้ Lan Cardแบบ 100 Mbpsเท่านั้น,ความเร็วจะลดลงตามจำนวน
เครื่อง
3. 10/100 Dual Speed Hub เป็น HUB ที่สามารถรับส่งสัญญาณได้ทั้ง 10 Mbps และ 100 Mbps ขึ้นอยู่กับว่า Lan Card ที่อยู่ในเครื่อวคอมพิวเตอร์ว่าเป็นชนิดใด HUB ชนิดนี้จะตรวจสอบดูว่าเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่มี Lan Card แบบ 10 Mbps หรือ 10/100 Mbps เรียกการตรวจสอบนี้ว่า Autosensing เมื่อทราบแล้วก็จะจ่ายสัญญาณให้ตามชนิดของ Lan Card ที่ใช้
Coaxia
ข้อดีและข้อเสียของสายโคแอกเชียล
ข้อดี
·         เชื่อมต่อได้ในระยะทางไกล
·         ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี

ข้อเสีย
·         มีราคาแพง
·         สายมีขนาดใหญ่
·         ติดตั้งยาก (ตัวคอนเน็กเตอร์ที่ใช้เชื่อมต่อกับสาย)

Fiber Optic Cable
ใยแก้วนำแสง
ข้อดี
1. ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
2. ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า
3. ส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก
ข้อเสีย
1. มีราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบสายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล
2. ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้ง
3. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงกว่า สายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
ข้อดีของสาย UTP- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ำหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP - ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกลมาก เพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)

เครือข่ายความเร็วสูง

SDH เป็นคำศัพท์ที่กำลังได้รับการกล่าวถึงอย่างมากทางหน้าหนังสือพิมพ์ หลายคนคงอยากรู้ถึงเทคโนโลยีเครือข่าย SDH ว่ามีลักษณะอย่างไร มีความเป็นมาหรือแนวโน้มที่น่าสนใจอะไรบ้าง
SDH ย่อมาจาก Synchronous Digital Heirarchy SDH เป็นคำศัพท์ที่มีความหมายถึงการวางลำดับการสื่อสารแบบซิงโครนัสในตัวกลางความเร็วสูง ซึ่งโดยปกติใช้สายใยแก้วเป็นตัวนำสัญญาณ การสื่อสารภายในเป็นแบบซิงโครนัส คือส่งเป็นเฟรม และมีการซิงค์บอกตำแหน่ง เริ่มต้นเฟรมเพื่อให้อุปกรณ์รับตรวจสอบสัญญาณข้อมูลได้ถูกต้อง มีการรวมเฟรมเป็นช่องสัญญาณที่แถบกว้างความเร็วสูงขึ้น และจัดรวมกันเป็นลำดับ เพื่อใช้ช่องสื่อสารบนเส้นใยแก้วนำแสง
ความเป็นมาของ SDH มีมายาวนานแล้ว เริ่มจากการจัดการโครงข่ายสายโทรศัพท์ ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ได้เปลี่ยนเป็นดิจิตอล โดยช่องสัญญาณเสียงหนึ่งช่องใช้สัญญาณแถบกว้าง 64 กิโลบิต แต่ในอดีตการจัดมาตรฐานลำดับชั้นของเครือข่ายสัญญาณเสียงยังแตกต่างกัน เช่นในสหรัฐอเมริกา มีการจัดกลุ่มสัญญาณเสียง 24 ช่อง เป็น 1.54 เมกะบิต หรือที่เรารู้จักกันในนาม T1 และระดับต่อไปเป็น 63.1, 447.3 เมกะบิต แต่ทางกลุ่มยุโรปใช้ 64 กิโลบิตต่อหนึ่งสัญญาณเสียง และจัดกลุ่มต่อไปเป็น 32 ช่องเสียงคือ 2.048 เมกะบิต ที่รู้จักกันในนาม E1 และจัดกลุ่มใหญ่ขึ้นเป็น 8.44, 34.36 เมกะบิต
การวางมาตรฐานใหม่สำหรับเครือข่ายความเร็วสูงจะต้องรองรับการใช้งานต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณมัลติมีเดียอื่น ๆ เช่น สัญญาณโทรทัศน์ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต และที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกได้ คณะกรรมการจัดการมาตรฐาน SDH จึงรวมแนวทางต่าง ๆ ในลักษณะให้ยอมรับกันได้ โดยที่สหรัฐอเมริกา เรียกว่า SONET ดังนั้นจึงอาจรวมเรียกว่า SDH/SONET การเน้น SDH/SONET ให้เป็นกลางที่ทำให้เครือข่ายประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ วิ่งลงตัวได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เนื่องจากโครงข่ายของ SDH/SONET ใช้เส้นใยแก้วนำแสงเป็นหลัก โดยวางแถบกว้าง พื้นฐานระดับต่ำสุดไว้ที่ 51.84 เมกะบิต โดยที่ภายในแถบกว้างนี้จะเป็นเฟรมข้อมูลที่สามารถนำช่องสัญญาณเสียงโทรศัพท์ หรือการประยุกต์อื่นใดเข้าไปรวมได้ และยังรวมระดับช่องสัญญาณต่ำสุด 51.84 เมกะบิตนี้ให้สูงขึ้น เช่นถ้าเพิ่มเป็นสามเท่าของ 51.84 ก็จะได้ 155.52 ซึ่งเป็นแถบกว้างของเครือข่าย ATM
โมเดลของ SDH แบ่งออกเป็นสี่ชั้น เพื่อให้มีการออกแบบและประยุกต์เชื่อมต่อได้ตาม มาตรฐานหลัก
ชั้นแรกเรียกว่าโฟโตนิก เป็นชั้นทางฟิสิคัลที่เกี่ยวกับการเชื่อมเส้นใยแก้วนำแสง และอุปกรณ์ประกอบทางด้านแสง
ชั้นที่สอง เป็นชั้นของการแปลงสัญญาณแสง เป็นสัญญาณไฟฟ้า หรือในทางกลับกัน เมื่อแปลงแล้วจะส่งสัญญาณไฟฟ้าเชื่อมกับอุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ชั้นนี้ยังรวมถึงการจัดรูปแบบเฟรมข้อมูล ซึ่งเป็นเฟรมมาตรฐาน แต่ละเฟรมมีลักษณะชัดเจนที่ให้อุปกรณ์ตัวรับและตัวส่งสามารถซิงโครไนซ์เวลากันได้ เราจึงเรียกระบบนี้ว่า ซิงโครนั
ชั้นที่สามเป็นชั้นที่ว่าด้วยการรวมและการแยกสัญญาณ ซึ่งได้แก่วิธีการมัลติเพล็กซ์ และดีมัลติเพล็กซ์ เพราะข้อมูลที่เป็นเฟรมนั้นจะนำเข้ามารวมกัน หรือต้องแยกออกจากกัน การกระทำต้องมีระบบซิงโครไนซ์ระหว่างกันด้วย
ชั้นที่สี่ เป็นชั้นเชื่อมโยงขนส่งข้อมูลระหว่างปลายทางด้านหนึ่งไปยังปลายทางอีกด้านหนึ่ง เพื่อทำให้เกิดวงจรการสื่อสารที่สมบูรณ์ ในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่งจึงเสมือนเชื่อมโยงถึงกันในระดับนี้
เพื่อให้การรับส่งระหว่างปลายทางด้านหนึ่งไปยังอีกปลายทางด้านหนึ่งมีลักษณะสื่อสารไปกลับได้สมบูรณ์ การรับส่งจึงมีการกำหนดแอดเดรสของเฟรมเพื่อให้การรับส่งเป็นไปอย่างถูกต้อง กำหนดโมดูลการรับส่งแบบซิงโครนัส ที่เรียกว่า STM - Synchronous Transmission Module โดย เฟรมของ STM พื้นฐาน มีขนาด 2430 ไบต์ โดยส่วนกำหนดหัวเฟรม 81 ไบต์ ขนาดแถบกว้างของการรับส่งตามรูปแบบ STM จึงเริ่มจาก 155.52 เมกะบิตต่อวินาที ไปเป็น 622.08 และ 2488.32 เมกะบิตต่อวินาที จะเห็นว่า STM ระดับแรกมีความเร็ว 155.52 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเป็น 3 เท่าของแถบกว้างพื้นฐานของ SDH ที่ 51.84 เมกะบิตต่อวินาที STM จึงเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใน SDH ด้วย
เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ผู้ออกแบบมาตรฐาน SDH ต้องการให้เป็นทางด่วนข้อมูลข่าวสาร ที่จะรองรับระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่มีอัตราการส่งสัญญาณกันเป็น T1, T3, หรือ E1, E3 ขณะเดียวกันก็รองรับเครือข่าย ATM (Asynchronous Transfer Mode) ที่ใช้ความเร็วตามมาตรฐาน STM ดังที่กล่าวแล้ว โดยที่ SDH สามารถเป็นเส้นทางให้กับเครือข่าย ATM ได้หลาย ๆ ช่องของ ATM ในขณะเดียวกัน
SDH จึงเสมือนถนนของข้อมูลที่ใช้เส้นใยแก้วนำแสงเพื่อรองรับแถบกว้างของสัญญาณสูง ขณะเดียวกันก็ใช้งานโดยการรวมสัญญาณข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาร่วมใช้ทางวิ่งเดียวกันได้
SDH จึงเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เสมือนหนึ่งเป็นถนนเชื่อมโยงที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ที่สำคัญคือ ถนนเหล่านี้จะเป็นทางด่วนที่รองรับการประยุกต์ใช้งานในอนาคต
SDH หรือทางด่วนข้อมูล จะเกิดได้หรือไม่ คงต้องคอยดูกันต่อไป

E-Commerce

 

              คือ การดำเนินธรุกิจการค้าหรือการซื้อขายบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต โดยผู้ซื้อ (Customer) สามารถดำเนินการ  เลือกสินค้า คำนวนเงิน ตัดสินใจซื้อสินค้า โดยใช้วงเงินในบัตรเครดิต ได้โดยอัตโนมัติ ผู้ขาย (Business) สามารถนำเสนอสินค้า  ตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของลูกค้า รับเงินชำระค่าสินค้า ตัดสินค้าจากคลังสินค้า และประสานงานไปยังผู้จัดส่งสินค้า  โดยอัตโนมัติ กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นบนระบบเครือข่าย Internet


ข้อดี
1.เปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมง
2.ดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลก
3.ใช้งบประมาณลงทุนน้อย
4.ตัดปัญหาด้านการเดินทาง
5.ง่ายต่อการประชาสัมพัธ์โดย สามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลก


ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
2.ประเทศของผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การดำเนินการด้านภาษีต้องชัดเจน
4.ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเทคโนโลยีอินเทอร์เนต


ประเภทของ E-Commerce
1. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า)
เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า


2. การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า)
เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์

 
3. การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)
เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน


4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกัน
เช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ


ความสัมพันธ์ของระบบการค้าอิเล็กทรอนิค E-Commerce

                การดำเนินการธุระกิจการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce มีดังนี้



ภาพแสดงความสัมพันธ์ของ
ขั้นตอนการเปิดร้านเพื่อดำเนินการค้า E-Commerce
ระบบความปลอดภัย

1.Encryption เป็นการเข้ารหัสและถอดรหัส
ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำกิจกรรมซื้อขายในเครือข่ายอินเทเอร์เนต
หรือระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เป็นระบบนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปบนอินเทอร์เนต

2.Authentication เป็นระบบตรวจสอบ ซึ่งจะตรวจสอบว่า
เป็นผู้ได้รับอนุญาตตัวจริงให้เข้าถึงระบบและบริการในชั้นที่กำหนดให้
โดยให้แจ้งข้อมูล  Password ของผู้ได้รับอนุญาต

3.Firewalls เป็นระบบที่ทำงานร่วมกันระหว่าง Hard และ Software โดย Firewalls
จะวางอยู่ระหว่าง เครือข่ายภายในองค์กร (Local Network)
และ เครือข่ายภายนอก (Internet)
เพื่อป้องกันการบุกรุกจากจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต
เข้ามาขโมยข้อมูลหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล (Hacker)
โดยผ่านทางเครือข่ายภายนอก (Internet)

4.PKI System (Public Infrastructure) เป็นกลุ่มข้อ Security Services
ซึ่งปกติจัดให้โดย Certificate (CA),
Authentication, Encryption และ Certificate Management
ใช้เทคโนโลยีการเข้าและถอดรหัสโดยกุณแจสาธารณะ


ระบบการค้าอิเล็กทรอนิค E-Commerce
  

HTUL

HTML ย่อมาจากHypertext Markup Langauge เป็นรูปแบบของภาษาที่ใช้สำหรับสร้าง
Web Page ซึ่งจะถูกแปลความหมายและแสดงผลด้วย Web Browser และจะแสดงได้ทั้งข้อมูล
ที่เป็น ข้อความ เป็นเสียง เป็นภาพ และภาพเคลื่อนไหว เช่น VDO หรือภาพยนต์ ที่เรามองเห็นใน Internet .

     อ่านและ แปลตามคำ ได้ดังนี้

     Hyper (ไฮเปอร์ ) มากมิติ
     Text (เทคซฺทฺ) ข้อความ
     Markup (มาร์ค'อัพ) ปริมาณ
     Language ( แลง'เกว็จฺ) ภาษา

    ( แปลจากโปรแกรมแปล Dicthope ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ )

     HTML เป็นภาษาที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจ โดยใช้แท็กในการกำหนดโครงสร้าง
และลักษณะของข้อความหรือรูปภาพ โครงสร้างของภาษา HTML ประกอบด้วยส่วนหัว
และส่วนเนื้อหาซึ่งผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งต่าง ๆ กันไป การตกแต่งเว็บเพจอาจทำได้โดย
การใส่สีพื้น สีตัวอักษร และกำหนดขนาดตัวอักษรการสร้างตาราง การสร้างแหล่งเชื่อมโยง
การใช้ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวประกอบในเว็บเพจซึ่งจะทำให้เว็บเพจดูสวยงาม


ความหมายของ Tag

              Tag (แทก) เป็นการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย <  >
ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ประกอบด้วย

              <   (Less-than bracket : เลสแดนแบรคเก็ท) หรือ น้อยกว่า และ

               >   (Greater-than bracket : เกรทเตอร์แดนแบรคเก็ท) หรือ มากกว่า
     Tag ในภาษา HTML แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ


           
1. tag เดี่ยว เป็น tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น

                          ..........<br>
                                    <p>..........

           
2. tag เปิด/ปิด เป็น
tag ที่ประกอบด้วย tag เปิด และ tag ปิด

                    tag ปิด จะมีเครื่องหมาย / (slash:สแลช) นำหน้าในคำสั่งนั้นด้วย เช่น
                                   <title>.........</title>
                                   <b>.............</b>      

อธิบายเพิ่มเติม
ในการใช้แบบอักษร ใช้ได้ทั้งตัวพิมพ์ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็ก



Domain Name (โดเมนเนม)
          ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการระบุถึงเว็บไซต์ใดๆ เช่น เว็บไซต์ของโรงเรียนชุมชนวัดท่าสุธาราม
          มีชื่อโดเมนเนม ว่า school.obec.go.th

       ชื่อโดเมนจะแบ่งออกเป็นระดับชั้น โดยอาจจะเป็น 2 ระดับ หรือ 3 ระดับ ก็ได้
               โดยแต่ละระดับจะถูกคั่นด้วยเครื่องหมายจุด เช่น
krucom.com
=    ชื่อโดเมนแบบ 2 ระดับ
google.co.th
=    ชื่อโดเมนแบบ 3 ระดับ


        ส่วนแรก จะหมายถึงชื่อองค์กร
        ส่วนที่สอง จะเป็นส่วนขยายบอกประเภทขององค์กร เช่น เป็นองค์กรของเอกชน หรือ ของรัฐบาล
        ส่วนที่สาม จะเป็นส่วนขยายบอกประเทศที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นตั้งอยู่      เช่น
     

google
co
th
|
|
|
ชื่อองค์กร
ส่วนขยายบอกประเภทขององค์กร
ส่วนขยายบอกประเทศ



        
ตัวอย่างส่วนขยายประเภทขององค์กร
 com หรือ co
หมายถึง
องค์กรของเอกชน (Commercial organization)
 edu หรือ ac
หมายถึง
สถาบันการศึกษา (Education organization)
 gov หรือ go
หมายถึง
องค์กรของรัฐ (Government organization)
 org หรือ or
หมายถึง
องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร (Non-commercial organization)
 net
หมายถึง
องค์กรให้บริการเครือข่าย (Network organization)

        
ตัวอย่างส่วนขยายบอกประเทศ
th
หมายถึง
ไทย
 jp
หมายถึง
ญี่ปุ่น
 us
หมายถึง
สหรัฐอเมริกา

ความหมายของคำต่าง ๆที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต


ก่อนที่จะเริ่มต้นเขียน เว็บเพจ เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับโลกอินเทอร์เน็ตทั้งคำศัพท์ และระบบ
        ที่เกี่ยวข้องทั้งนี้เพื่อจะได้เข้าใจได้ดีขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำศัพท์ ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

internet
(อินเทอร์เน็ต)
คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันจำนวนมากละครอบคลุมไปทั่วโลก
เครือข่ายเหล่านี้เชื่อมเข้าหากันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
(Protocal) ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
Web Page
( เว็บเพจ )
 คือเอกสารที่นำเสนอผลงาน บนระบบอินเตอร์เน็ตโดยจะถูกเรียก
และจัดรูปแบบการนำเสนอด้วยโปรแกรบราวเซอร์(Browsers)
Home Page
(โฮมเพจ)
เป็นเว็บเพจหน้าแรกสุดของข้อมูลแต่ละเรื่อง   เปรียบเสมือนปกหนังสือ
ส่วนของโฮมเพจนี้เป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเรื่องใด
พร้อมทั้งมีหัวข้อย่อยต่างๆ แยกออกไปตามแต่ผู้ใช้ต้องการจะเข้าไปค้นคว้า
Web Site
(เว็บไซท์ )
 เป็นที่เก็บเว็บเพจเปรียบเหมือนเป็นบ้านซึ่งมีเลขที่บ้าน
เว็บไซท์ก็มีชื่อเว็บไซท์ซึ่งขึ้นต้นด้วย http://www.__ . __
Web Browser
(เว็บบราวเซอร์)
เป็นโปรแกรมพิเศษที่ใช้สำหรับอ่านและแสดงข้อมูลที่เป็นภาษา HTML
เพื่อให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ของเว็บเพจนั้นๆ ได้
โดยปัจจุบันมีโปรแกรมที่ได้รับความนิยม เช่น Internet Explorer ,
Netscape Navigator และ firefox
 Web Editer
(เว็บอิดิเตอร์)
 เป็นโปรแกรมสำหรับเขียนเว็บ เช่น โปรแกรม Dream weaver(ดรีมวีฟเวอร์),
Ms Frontpage(เอ็มเอสฟร้อนเพจ) และอื่น ๆอีกหลายโปรแกรม
HTML Editor
(เอช ที เอ็ม แอล
อิดิเตอร์ )
  เป็นโปรแกรมใช้เขียนเว็บด้วยภาษา html  หรือสร้างเอกสาร HTML
 เช่น โปรแกรม Notepad (โนทแพด)และอื่น ๆอีกหลายโปรแกรม
<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
<!--[endif]-->
URL
(ยู อาร์ แอล)
(Uniform Resource Locator) คือ แหล่งที่อยู่ของเว็บไซต์ใดๆ
เราสามารถเข้าถึง website หนึ่งได้ โดยการพิมพ์ URL
เช่น URL ของ โรงเรียนชุมชนวัดท่าสุธารามคือ http://school.obec.go.th
WWW
(เวิลลด์ ไวด์ เว็บ)
เป็นที่รู้จักกันในนาม เครือข่ายใยแมงมุม เป็นบริการทางอินเทอร์เน็ต
เราสามารถ ใช้บริการต่าง ๆผ่าน Browser ได้ เช่น E-mail (อีเมล)
การรับส่งข้อมูลระหว่างกัน Chat (เช็ท) การพูดคุยกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต
และ เว็บไซท์ต่าง ๆ
Download
(ดาวน์โหลด)
เป็นการคัดลอกข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ โดยผ่านเ่ครือข่าย
อินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ยังเครื่องของเรา
Upload
(อัพโหลด)
เป็นการคัดลอกข้อมูลจากเครื่องคอพิวเตอร์ของเรา ไปเก็บไว้ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
Hypertex
(ไอเปอร์แท็กซ์))
คือข้อความในเว็บเพจ ที่เป็นจุดในการเชื่อมโยงไปยังเอกสาร
<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
<!--[endif]-->
Hypermedia
(ไอเปอร์มีเดีย)
เป็นการกำหนดจุดเชื่อมโยงคล้ายกันกับ ไฮเปอร์แท็กซ์ แต่จะสามารถ
กำหนดจุดเชื่อมโยงด้วยรูปภาพ หรือสัญลักษณ์ ก็ได้
Hyperlink
(ไอเปอร์ลิงค์)
คือการเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น โดยผ่าน Hypertex (ไอเปอร์เท็กซ์) หรือ
Hypermedia (ไอเปอร์มีเดีย)